ตอนที่ผมซ้อมบลาซิเลี่ยน-จูจิตซึ ในบางวันที่อากาศสบายๆ บางทีตอน Roll (ซ้อมปล้ำต่อสู้กันแบบฟรีสไตล์) ก็อาจจะมีการแอบกระซิบกระซาบกันว่า "วันนี้ขอชิวๆ สบายๆ แค่ 50% ก็พอนะ"
แล้วก็ขอให้มั่นใจเถอะว่าไม่ว่าพวกเราจะรับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแค่ไหนก็ตาม ตอน Roll กันจริงๆ มันจะอัดกันหมดแม๊กซัดกันแหลกทุกที
และขอให้เชื่อเถอะว่า พอจบ Roll แล้วถ้าเราไปถามว่าทำไมแกเล่นหนักจังวะ ไหนบอกว่าเบาๆ
คำตอบที่ได้รับทุกครั้งก็คือ "ก็มึงนั่นแหละเล่นกูหนักก่อน"
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย ทั้งๆ เราก็มั่นใจนะว่า 50% แล้วนี่หว่า
คำถามก็คือมันเกิดอะไรขึ้น เราเล่นหนักจริงๆ (ทั้งที่มันใจว่าเบาแล้ว) หรือเพื่อเรามันบ้าพลังไปเอง
ความจริงเรื่องนี้มันมีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยาอยู่เหมือนกัน
คือเคยมีการทำลองให้คนสองคนผลัดกันออกแรงกดไปที่อีกฝ่าย โดยให้กดด้วยความแรงเท่ากับที่เขากดเราในครั้งก่อน ผลปรากฏว่าแรงที่ใช้ในการกดมันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ครับ ชนิดที่ว่าถ้ายังผลัดกันออกแรงกดอย่างนี้กันต่อไปเรื่อยๆ มีหวังว่าได้ชกกันแน่ๆ
ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมคือมันอะไรขึ้น?
คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้มีอยู่ว่า ระบบประสาทของเรามีแนวโน้มจะตอบสนองต่อการกระทำของตัวเองน้อยกว่าปรกติ ในขณะที่มีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อการกระทำของคนอื่นจะมีมากกว่าปรกติด้วยเช่นกัน
มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงจั๊กกะจี้ตัวเองแล้วไม่ค่อยรู้สึกเท่าถูกคนอื่นจั๊กกะจี้ทั้งๆ ที่พยามทำแบบเดียวกันด้วยความแรงที่เท่ากันแล้วแท้ๆ
ความจริงแล้วกลไกทางประสาทนี้ธรรมชาติออกแบบให้เราใช้สำหรับการป้องกันตัว เมื่อระบบประสาทตอบสนองต่อภายนอกมากกว่าปรกติ (คือโอเวอร์แอ๊คชั่นเข้าไว้) ความฉับไวในการตอบสนองต่ออันตรายต่างๆ จึงเกิดประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
แต่กลไกนี้ก็ดูเหมือนว่าจะก่อปัญหาให้กับเราได้อยู่เหมือนเมื่อเราอยู่ในบริบทของสังคมแบบเมืองๆ
ผมสรุปง่ายๆ ว่ามันทำให้เราเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้ตัว
บางทีเราอาจจะรู้สึกรำคาญเวลาคนข้างห้องมาเคาะประตูบอกว่าเราส่งเสียงดังเกินไปทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ดังอะไรมากมากมายเสียหน่อย หรือเราอาจจะรู้สึกว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรเพียงเพราะยืนพิงเสาในขบวนรถไฟฟ้า
บางทีเราอาจจะคิดว่าคนรอบๆ ตัวเรานี่ช่าง "เยอะ" เสียเหลือเกิน นิดหน่อยก็ไม่ได้
นั่นแหละคืออิทธิพลของกลไกระบบประสาทที่มันกำลังทำงานอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว
ผมใช้คำว่าไม่รู้ตัวนะ
แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ทันระบบประสาทของคุณแล้วล่ะ
บางทีในโอกาสต่อๆ ไป ถ้าหากมีใครมาตำหนิอะไรเราบ้าง จากเรื่องที่เราคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
เราอาจจะต้องเริ่มต้นด้วยการ "ถอยออกมา" พิจารนาที่ตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเล็กน้อยนั้น มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจริงๆ เหรอ?
ศูนย์ให้คำปรึกษาและสะกดจิตบำบัด
ความหมาย (ความต้องการ) ที่เรากำลังพยามสื่อสารออกไป คนรับสารจะสามารถเข้าใจตรงกับที่เราต้องการสื่อหรือไม่?นี่คือเรื่องสำคัญ
เช่นคุณบอกว่าวันนี้ฉันไปตลาดซื้อมะนาวสวยๆมา 3-4 ลูก (จะเอามะนาวมาอวดซักหน่อย) ..... แต่เขาบอกฝนตกแฉะๆก็ยังไปตลาดอีกเนอะ(ไม่สนใจมะนาวเราเล้ย)
จบเห่ ... แบบนี้ NLP ถือว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาด
เมื่อการสื่อสารผิดพลาด สิ่งที่ตามมาซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการสื่อสารอีกทีจึงไม่สามารถหนีพ้นไปจากกรอบของคำว่าผิดพลาดไปได้
ทุกความสำเร็จจึงมีจุดเริ่มต้นมาจากการสื่อสารที่ถูกต้องแม่นยำก่อนเสมอ
ดังนั้นก่อนจะสื่อสารอะไรออกไป จงเริ่มต้นด้วยการคิดและตระหนักอยู่เสมอว่าคนฟังจะสามารถเข้าใจตรงตามเป้าหมายที่เราอยากบอกกับเขาหรือไม่?
เมื่อคุณเปิดร้านอาหาร คุณพยามจะสื่อสารว่าร้านคุณบรรยากาศดีอาหารก็อร่อย ... แต่ลูกค้าเข้าใจตรงกับสิ่งที่คุณกำลังสื่อสารหรือเปล่า?
ถ้าหากคุณเป็นหมอ คุณอาจจะพยามทำให้คนป่วยของคุณตระหนักถึงการดูแลสุขภาพ แต่เข้าจะเจ้าใจอย่างที่คุณพยายามให้เขาเข้าใจหรือไม่?
อย่าลืมหลักการสำคัญที่ว่า "การสื่อสารไม่ใช่เรื่องวิธีการ แต่เป็นเรื่องของผลลัพธ์ล้วนๆ" ครับ
ขอย้ำอีกครั้งว่า
"ทุกความสำเร็จจึงมีจุดเริ่มต้นมาจากการสื่อสารที่ถูกต้องแม่นยำก่อนเสมอ"
ศูนย์ให้คำปรึกษาและสะกดจิตบำบัด
เราจะสามารถอ่านใจ (Mind Reading) คนอื่นได้ ... ก็ต่อเมื่อเราสามารถประเมินได้ว่าคนอื่นคิดอะไรกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนั้นเรื่องนี้พูดเหมือนง่าย แต่ความจริงเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเรานั้นมีแนวโน้มจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ ...
มันมีแนวโน้มสูงทีเดียวที่เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้มันก็ดีอยู่แล้ว โอเคอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรเสียหายตรงไหนเลย
ยิ่งมีตรงนี้มากเท่าไหร่ การรับรู้ของเรามันก็จะหดแคบเข้าเรื่อยๆ (จะบอกว่าเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ แต่โดยเจตนาแล้วไม่ได้ต้องการให้มีความหมายรุนแรงถึงขนาดนั้น) จนในที่สุดเราจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคนอื่นๆ เขาคิดหรือรู้สึกอะไรกับเรา
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วมันจึงไม่แปลกเลยถ้าเราจะไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้เลยแม้ซักนิดเดียว
และมันก็คงไม่ดีแน่ๆ กับการสื่อสารหรือสนทนาที่เราไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้นอกจากตัวเราเอง
ดังนั้นแล้ว มันจึงการควรเป็นอย่างยิ่งหากเราฝึกที่จะถอดหัวโขนหรือละอัตตาความเป็นตัวของเราเองลงเสียบ้าง ... แล้วถอยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวตนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา (ผมย้ำว่าตรงไปตรงมานะ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาชมหรือตำหนิเพียงอย่างเดียว ไม่อย่านั้นมันก็ไม่มีประโยชน์)
... หากเราต้องการที่จะเข้าใจคนอื่นให้มากยิ่งขึ้น
ศูนย์ให้คำปรึกษาและสะกดจิตบำบัด
เมื่อต้องสินใจ ไม่ว่าจะได้เรื่องใดก็ตาม ผู้คนจำนวนมากมักจะเกิดความรู้สึกที่ว่า "ตอนนั้นไม่น่าตัดสินใจเลือกแบบนั้นเล้ย" ตามมาอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจหรือความรู้สึกผิดต่อการตัดสินใจของตัวเอง มากๆ เข้าก็จะพัฒนามาเป็นความรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้งที่จะต้องเป็น "ผู้ต้องเลือก"
และในหลายๆ กรณี นี่คือเหตุผลสำคัญที่จะนำไปสู่ปัญหาการไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
(ไม่มีใครอยากเป็นผู้เลือกผิดพลาดหรอก หลายคนจึงหนีปัญหาด้วยการไม่ยอมเป็นผู้เลือกซะเลย)
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดทีสิ่งที่เรียกว่า Six Step Reframing ใน NLP ขึ้นมา
เพื่อทำให้การเลือกนั้นเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ หนักแน่น และทรงพลัง ไร้ความสั่นคลอนตามมาในภายหลัง
(หรือถ้ามีก็ให้น้อยลงให้ได้มากที่สุดล่ะนะ)
การทำ Six Step Reframing Pattern มีดังนี้ครับ
1. กำหนดเป้าหมายว่าคุณต้องการเลือกสิ่งใด หรือต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
2. กำหนดสัญญาณที่ใช้สำหรับเลือกคำตอบ คำว่าสัญญาณในที่นี้หมายถึงสัญญาณจากจิตใต้สำนึกเช่นถ้า "ตกลง" ให้รู้สึกกระตุกที่ปลายนิ้วของมือขวา แต่ถ้า "ไม่" ให้กระตุกที่ปลายนิ้วทางซ้ายเป็นต้น (สัญญาณพวกนี้ก็แล้วว่าแต่ละคนจะกำหนดขึ้นมาอย่างไร)
3. จงตั้งคำถามว่า "สิ่งเดิมที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงนั้น มันมีข้อดีอะไรอยู่บ้างที่อาจจะถูกมองข้ามหรือไม่?" "ทำไมฉันถึงต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้?" หรือ "การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อน่างนั้นเหรอ?" การถามทบทวนแบบนี้บางทีคุณอาจจะคำตอบอะไรบางอย่างที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้นะ
4. สร้างเป้าหมายปลายทางที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงไปหามัน (เช่นถ้าอยากเลิกขี้เกียจ เป้าหมายพื้นฐานก็ควรการเป็นคนขยัน) และไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็ตามขอให้สร้างตัวเลือกอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน้อยสองตัวเลือก (รวมเป้าหมายแรกสุดก็คือมีสามตัวเลือกเป็นอย่างน้อยให้เราเลือกว่าจะเปลี่ยนเป็นแบบใหนดี)
5. จงอธิบายหรือจินตนาการถึงข้อดีหรือคุณประโยชน์ที่ตัวคุณจะได้รับสำหรับทางเลือกในแต่ละทางที่คุณได้สร้างขึ้น (ในห้วงความคิดคิด) จากนั้นจงตั้งคำถามว่าจากตัวเลือกที่กำหนดขึ้นมานั้น ข้อใดคือสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริงโดยฟังคำตอบจากส่วนลึกของคุณผ่านทางสัญญาณที่ถูกกำหนดขึ้นในข้อ 2
6. ตรวจสอบว่าคุณต้องการคำตอบที่ได้เลือกไปในข้อ 5 จริงหรือ โดยจินตนาการว่าผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่คุณได้เป็นผู้เลือกบัดนี้ได้เกิดขึ้นกับคุณแล้วโดยสมบูรณ์ จากนั้นสังเกตความพึงพอใจของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ศูนย์ให้คำปรึกษาและสะกดจิตบำบัด
"อันความโป้ปดมดเท็จใดๆ ... มิคู่ควรทำให้ตัวตนของเราต้องเศร้าหมอง"
ศูนย์ให้คำปรึกษาและสะกดจิตบำบัด