Meta Model ใน NLP สอนให้รู้ว่าทุกๆ ความคิดที่ท้อถอยสิ้นหวังจะแสดงออกมาด้วยคำพูดที่ท้อถอยสิ้นหวัง และถ้อยคำที่แสดงออกด้วยความท้อถอยสิ้นหวังเหล่านี้มันล้วนแล้วแต่ถูกบิดเบือนไปจากเหตุการณ์จริงที่มันกำลังเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ไม่ถูกเติมแต่จนเกินจริง ก็ถูกตัดทอนเสียจนผิดเพี้ยน หรือไม่ก็บิดเบือนเสียจนห่างจากใกลจากความจริงเป็นกิโลไปเลย
“ผมว่าเราเลิกเสียแต่วันนี้ดีกว่า ขืนทำต่อไปก็ยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ”
“ฉันไม่อยากไปทำงานเลย ทุกคนในออฟฟิตเกลียดฉันเสียยังกับขี้กับเยี่ยวแนะ”
“ถ้าให้ผมออกไปพูดหน้าคนมากๆ แบบนั้นนะ ผมต้องตายแน่ๆ”
“ฉันว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันหรอก” ....9ล9
เราลองมาวิเคราะห์ถ้อยคำเหล่านี้กันซักหน่อยดีมั้ยครับ
“ผมว่าเราเลิกเสียแต่วันนี้ดีกว่า ขืนทำต่อไปก็ยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ” ประโยคนี้ท่อนแรกเขาบอกว่าเลิกดีกว่า ดีกว่าอะไรล่ะครับประโยคนี้กำลังเปรียบเทียบกับอะไร น่าจะหมายถึงเลิกดีกว่าทำต่อซินะครับ งั้นมาดูท่อนต่อไปเขาบอกว่าถ้าถืนทำต่อไปก็ยิ่งจมลงเรื่อยๆ อะไรจมล่ะครับ ก็คงหมายถึงกิจการที่เขากำลังทำอยู่ ประเด็นก็คือที่ว่ากิจการกำลังจมนี้อะไรของกิจการกำลังจม ยอดขาย ทุน หรือร้านทั้งร้านกำลังจมลงไปในดิน ความจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเพียงวันนี้ขายไม่ดีหรือผลประกอบการไม่ถึงเป้า (ซึ่งอาจจะไม่ถึงเป้ามาซักระยะหนึ่งแล้วถึงทำให้ท้อถอย) ดังนั้นในความเป็นจริงจึงไม่มีอะไรจมลึกลงไป มีแต่ยอดมันไม่ถึงเป้า ดังนั้นพิจารนาจากเหตุการณ์แล้วสิ่งที่เราควรทำในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของจมหรือไม่จมซึ่งจะนำไปสู่การกระโดดหนีในขั้นตอนต่อไป แต่สิ่งที่เราควรทำเป็นอย่างยิ่งคือพิจารนาว่าปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน อะไรคือสิ่งที่เราผิดพลาด เราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ทำอย่างไรผลประกอบมันถึงจะกระเตื้องขึ้น แล้วจึงลงแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจริงๆ มากกว่าสนใจเรื่องจมหรือไม่จมซึ่งเป็นเป็นเพียงความรู้สึก (หรือ Defense Mechanisms) ที่ระบบประสาทของเราผลิตออกมาเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เรากำลังประสบ
“ฉันไม่อยากไปทำงานเลย ทุกคนในออฟฟิตเกลียดฉันเสียยังกับขี้กับเยี่ยวแนะ” ประโยคนี้ท่อนแรกเขาบอกว่าไม่อยากไปทำงานแล้ว พอแล้วพอกันที นี่ก็เพราะว่าทุกคนในออฟฟิตเกลียดฉันน่ะซี ความจริงแล้วในออฟฟิต 10 คนอาจจะมีที่เกลียดเขาจริงๆ ซักคนหรือ 2 คนก็เท่านั้นคนทั้ง 10 คนคงไม่ได้เกลียดเขาทั้งหมด (ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ) ซึ่งคนเกลียดซักคนหรือ 2 คนนั้นมันเป็นเรื่องปรกติมาก ใครบ้างเกิดมาโดยที่ไม่มีคนเกลียดชังเหม็นขี้หน้าเลย ดังนั้นที่ว่าทุกคนเกลียดนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกระบบประสาทหลอกหลอนเข้าให้แล้ว นอกจากนี้ความรู้สึกของคนๆ นี้ยังไปถึงขั้นที่ว่าเพื่อนร่วมงานของเขานั้นเกลียดเขาเหมือนขี้เหมือนเยี่ยวเลยทีเดียวซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกมาก เชื่อเถอะครับว่าถึงจะมีคนไม่ชอบขี้หน้าเขามากจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปในออฟฟิตก็คงไม่มีใครว่ากระไรหรอกครับ แต่ถ้ามีเพื่อนที่แสนดีเดินหิ้วถุงใส่อึเข้าไปในออฟฟิต แบบนี้ถึงจะแตกตื่นของจริง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้อยคำนี้ถูกระบบประสาทของเราบิดเบือนไปจากเหตุการณ์จริงได้มากมายเพียงใด
“ถ้าให้ผมออกไปพูดหน้าคนมากๆ แบบนั้นนะ ผมต้องตายแน่ๆ” ประโยคนี้ท่อนแรกเขาบอกว่าเขาอาจจะต้องออกไปพูดต่อหน้าคนมากๆ อาจจะเป็นงานเลี้ยง งานสัมมนา หรืองานประชุมสำคัญๆ ที่ไหนซักแห่งหนึ่ง ตามมาด้วยคำว่าต้องตายแน่ๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่เคยเห็นใครตายเพราะการออกไปพูดต่อหน้าผู้คนซักทีหนึ่ง (ไม่นับที่เป็นลมตายไปจริงๆ นะครับ แบบนั้นเป็นเรื่องสังขารถึงนอนดูโทรทัศน์อยู่บ้านก็มีโอกาสตายได้เหมือนๆ กัน) แต่ที่แน่คือเขากำลังประหม่า ไม่มั่นใจในตัวเอง จึงพัฒนาไปสู่ความวิตกกังวล ความกลัว ซึ่งนำมาสู่คำตายแน่ๆ ซึ่งขอยืนยันว่าไม่มีใครพูดจนตายหรอกครับ ถ้าเตรียมการพูดมาดี และพูดออกไปดีๆ คนฟังก็ตั้งใจดีๆ เหมือนกันและคุณก็แค่เดินออกไปพูด พูดเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่ เหตุการณ์มันก็มีเท่านี้จริงๆ
“ฉันว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันหรอก” ข้อความนี้คนพูดเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่พูดนั้นจริงหรือเปล่า เพราะเขาใช้คำว่า “เขาคง” ซึ่งแสดงเจ้าตัวก็ยังไม่มั่นใจเหมือนกัน ครั้นจะเดินไปถามว่าเขาคนนั้นไม่ชอบขี้หน้าฉันจริงๆ เหรอก็ยังไม่ได้ทำซะด้วยจึงได้แต่ปล่อยให้ระบบประสาทหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าเขาคงเกลียด (ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะคิดเองเออเองไปแล้วว่าเขาเกลียดเราแล้ว) ลองนึกถึงวันหนึ่งคุณถามเพื่อนของว่า เรื่องจองโต๊ะสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดเจ้านายที่ฝากให้ไปจองนั้นเป็นอย่างไร แล้วเพื่อตัวดีก็ตอบมาว่า “คงเรียบร้อยแหละ” แล้วคุณจะรู้สึกอย่างไร คุณจะสรุปคำตอบของเพื่อนคนนี้ว่าอย่างไร ตกลงมันเรียบร้อยหรือยัง คิดว่างานนี้จะล่มหรือไม่ นั่นก็คือสิ่งที่ระบบประสาทกำลังเล่นตลกอยู่กับคุณครับ
ดังนั้นอย่าปล่อยให้ระบบประสาทของตัวคุณเองเล่นตลกกับชีวิตของคุณ อย่าปล่อยให้ระบบประสาทมาบิดเบื่อเหตุการณ์จริงให้เลอะเทอะผิดเพี้ยนจนทำให้คุณพลาดโอกาสทองในชีวิตของคุณไป
ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจ เกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง เครียด สับสน กังวลใจ จะเขียนสิ่งเหล่านั้นลงในกระดาษครับ เขียนทุกสิ่งที่คุณรู้สึกจากนั้นก็หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ อ่านโดยจับผิดสิ่งที่คุณกำลังเขียนว่ามันถูกบิดเบือนไปมากเพียงใด แล้วคุณจะทราบว่าคุณกำลังถูกระบบประสาทของตัวเองเล่นงานเข้าให้อีกแล้วครับ
ผมคิดว่าเรื่องที่สองตรงกับผมมากครับ พอมาคิดดูดีดีแล้วเค้าไม่ได้เกลียดครับ เพียงแต่ผมต้องการให้เขายอมรับผมมากกว่านี้เท่านั้นเอง แต่ใจมันก็อดคิดอยู่ตลอดเวลา คอยหลอกหลอนตลอดว่าเราไม่สำคัญ จะทำอย่างไรดีครัับ แก้ไขยังงัย
ตอบลบ